วันที่สามของทริปที่ตั้งใจว่าจะไปเกาะสุรินทร์ แต่ดู GPS แล้วต้องเดินทางถึง 3 ชม. กว่าจะไปถึงท่าเรือ และขากลับมาถึงฝั่งบ่าย 4 แล้วต้องมาสนามบินก่อน 5 โมงเย็น ผมว่ามันเสี่ยงเกินไป ถือว่าครั้งนี้พลาดอย่างแรงเกี่ยวกับการวางแผน
แต่มาเที่ยวทั้งที มีผลิกแผนการณ์ได้ตลอด เลยมาหาที่ใกล้ๆ ที่ลูกไม่เคยไป (เอาลูกมาเป็นข้ออ้างได้ตลอด) ผมจึงเลือกไป อ่าวพังงา
จองห้องพักที่พังงาเรียบร้อย ได้ในเมือง จองเรือพาเที่ยวเรียบร้อย นัด 9 โมงเช้า
ที่นี้ วางแผนตื่น 7.00 น. ถ่ายภาพเล่นๆ แล้วไปกินติ๋มซำเป็นอาหารเช้า มีเจ้าถิ่นพาไปก็ดีแบบนี้นี่เอง
มีคนมารับพากินอาหารเช้า ที่ จ่วนเฮี้ยง สาขา 2 มีสาขา 1 อยู่ในเมือง แต่ร้านเล็กๆ ร้านนี้ใหญ่กว่า มีที่จอดรถ มีที่นั่งหลายที่
เพิ่งมาครั้งแรก พี่เขาเลยสั่งเอาทุกอย่างๆ ละ 1 ที่ ถ้าชอบค่อยซ้ำ สุดท้ายเหลือครับ อิ่มเกินจริงๆ
ระหว่างกินๆ อยู่ คนขับเรือก็ติดต่อมาตลอด ผมก้บอกว่านัด 9 โมงเจอกัน แต่จริงๆ เราสายไปแล้ว เพราะ GPS บอกว่าใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมง เดินทางไปถึงกว่า 9 โมงครึ่ง
คนขับเรือโทรมาตามตลอด สงสัยจะกลัวเรายกเลิก เพราะช่วงนี้ไม่มีลูกค้าเลย
จากภูเก็ตมาพังงา ผมเร่งตลอด แต่ความเร็วเขาจำกัดที่ 60-80 กม./ชม. แน่นอนว่าไปถึงก็สายเกือบๆ 10 โมงเช้า
ท่าเรือบ้านท่าด่าน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาด้วย เราจอดรถไว้ที่นั่น และตกลงทริปกับคนขับเรือที่เป็นไกด์ในตัว คือบรรยายตลอดการเดินทาง ก็ดีเหมืิอนกัน จะได้ความรู้ไปในตัวด้วย
ตำแหน่งต่างๆ ของจุดแวะท่องเที่ยวของอ่าวพังงา ถ้าเอาจริงๆ หลักๆ ก็มีแค่ เกาะตาปู กับ เกาะปันหยี เพียงเท่านั้น ที่เหลือก็อยู่ที่มุกพาเที่ยวของคนขับเรือว่าจะเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวยังไง เพราะถ้าแค่นั่งเรือไปนั่งเรือกลับ 2 ชม.ก็น่าจะจบ แต่ถ้าไปเข้าถ้ำ ดูป่าโกงกาง ลอดอุโมงค์ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
เราตกลงที่ 5 ชม.ไปเลย ค่าใช้จ่าย 2,500 บาท ถาแบบธรรมดา 1,500 บาท (ติดต่อได้ที่ไกด์ชื่อไลค์ ท่าเรือบ้านท่าด่าน)
ท่าเรือบ้านท่าด่านมีโรงแรมด้วย สมัยก่อนดกังมาก เป็นจุดชมอาทิตย์ขึ้นที่อ่าวพังงา แต่ตอนนี้ปิดสนิทเพราะโควิด-19
จุดแวะแรกที่จอดเรือก็คือไปชมถ้ำ ไกด์ตั้งชื่อว่าอะไรผมจำไม่ได้ ผมขอเรียกว่า ถ้ำนาคาเฝ้าไข่ หรือจงอางวงไข่ แล้วแต่จะเรียกกันไป
เราอยู่ในถ้ำนานพอสมควร เรียกเหงื่อได้เหมือนกัน เพราะต้องปีนป่าย แต่ไม่ถึงกับลำบากมากนัก พอได้สำหรับคนสูงวัยที่ยังพอมีกำลังเดินขึ้นลงเขา จากนั้น เราก็นั่งเรือไปต่อยัง เกาะตาปู
ในที่สุดก็มาถึง เกาะตาปู (บ้างก็เรียกว่า เกาะตะปู แต่ดูจากภาพรวมของสถานที่และตำนาน ควรเรียกว่าเกาะตาปู เพราะมันเหมือนตาของปูมากว่า)
มาถึงเกาะ ต้องสวมหน้ากาก วัดไข้ ตามกฎ เพราะที่นี่ถือเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เสียเงินค่าธรรมเนียมคนละ 60 บาท และคา่จอดเรือ 20 บาท
เกาะตาปู ยังเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลีวู้ตเรื่อง 007 เพชฌฆาตปืนทอง (อังกฤษ: The Man with the Golden Gun) เป็นภาพยนตร์แนวสายลับฉายเมื่อปี ค.ศ. 1974 เป็นภาพยนตร์เรื่องที่เก้าใน ภาพยนตร์ชุด เจมส์ บอนด์ ที่สร้างโดย อีออนโปรดักชันส์ แสดงนำโดย โรเจอร์ มัวร์ รับบทเป็น เจมส์ บอนด์ สายลับเอ็มไอ6 ครั้งที่สอง ภาพยนตร์ดัดแปลงบางส่วนจากนวนิยายชื่อเดียวกันของเอียน เฟลมมิง เมื่อปี ค.ศ. 1965 โดยวางจำหน่ายหลังเขาเสียชีวิตแล้ว ในภาพยนตร์ บอนด์ถูกส่งไปตามหาเครื่อง โซเลกซ์ อะจิเทเทอร์ อุปกรณ์ที่สามารถกักเก็บพลังแสงอาทิตย์ได้ ขณะเดียวกันบอนด์ก็ได้เผชิญหน้ากับ "เพชฌฆาตปืนทอง" ฟรานซิสโก สะการามังกา
เราจอดพักที่ร้านอาหาร ไม้ไผ่ปันหยี หลังสั่งอาหาร เขาบอกให้ไปเดินเล่น กลับมาก็เสร็จพอดี ประมาณครึ่งชั่วโมง
นอกจากร้านขายของที่ระลึก ที่ยังไม่ค่อยจะเปิด เพราะไม่มีนักท่องเที่ยว น้ำพริกกุ้งเสียบที่นี่ก็มีรสชาติอร่อยแปลกลิ้นดี เสียดายไม่ได้ซื้อไว้เลย เพราะเส้นทางบนเกาะ สามารถเดินวนกลับมาที่เดิมได้ เลยเดินกลับไปที่ร้านอาหารเลย ผ่านมัสยิด มองเห็นพื้นดินที่เดียวของชาวเกาะที่เป็นสุสานฝังศพของประชากรที่นั่น
พอกินเสร็จ ก็อิ่มมากอยากจะนอนเลย แต่ทริปยังมีอีก นั่งเรือต่อ อยากกลับแล้ว 55 แต่ไกด์คนขับเรือ บอกมีให้แวะอีก ผมบอกไม่เอาแล้ว เอาแบบไม่ลงจากเรือมีไหม
พอฝนซาๆ หน่อย ขอกุญแจเข้าที่พักดีกว่า กลัวมืด ทางขึ้นที่พักเป็นทางลาดชัน เขาให้ขึ้นแค่จุดเดียว แค่จุดเดียวก็ชันมากแล้วครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น