ค้นหาที่เที่ยวในบล็อกนี้

30 พฤศจิกายน 2567

เสน่ห์หมู่บ้านเล็ก

ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปทำงานเชียงใหม่และกาญจน์ และทุกครั้งก็จะหาที่แวะพักผ่อนหย่อนใจ


    ที่แรกที่เพิ่งไปมาเมื่อเดืิอนกันยายนคือ แม่กำปอง จ. เชียงใหม่ ต้องยอมรับว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีแค่ถนนเส้นเดียวสั้นๆ เดินแป๊บเดียวก็ครบทุกที่แล้ว แต่ทำไมผู้คนมากันเรื่อยๆ แบบไม่ขาดสาย
    คงจะเป็นไอหมอกปลายฤดูฝนที่ออกมาปรากฎแบทุกครั้งที่ฝนตกลงมา อีกทั้งเสียงน้ำไหลที่มีตลอดเวลาแบบไม่หยุดพัก
    พอยามเย็นแสงไฟสว่างไสว ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับแม่กำปอง ยามเช้าขึ้นไปยังร้านกาแฟจุดชมวิวหมู่บ้านก็สวยประทับใจยามไอหมอกเผยตัวลอยละล่องท่ามกลางหุบเขาเล็กๆ
    คลิกลิงก์ดู https://serithaitour.blogspot.com/2024/11/2-1_25.html

    อีกที่คือ บ้านอีต่อง อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี ไปที่นี่เพราะโซเชียลโดยแท้ เพราะใครมากาญจน์ต้องไปอีต่อง เพราะถือว่าใกล้กรุงเทพฯ กว่าไปเหนือ แต่พอดูระยะทางก็ไกลพอกัน น้องๆ เชียงใหม่ 6-7 ชม. ของการขับรถ
    ผมมาเยือนที่นี่เดือนพฤศจิกายน เมฆหมอกหายไปหมดแล้ว เหลือแต่ลมแรงๆ หนาวเย็น พยายมามานั่งเล่นที่ดาดฟ้าหลังคาที่พัก ก็มิอาจต้านลมหนาวได้ 
    จุดไฮไลท์ของที่นี่คงเป็นแสงไปยามเย็นจากห้องพักที่เรียงรายริมน้ำสะท้อนแสง ด้านหลังคือฟ้าที่มืดมิดสนิทใจ ยิ่งมายืนถ่ายภาพที่ป้ายไม้เขียนข้อความราคาประหยัด ถือตะเกียงเล็กๆ มีช่างภาพอาสาส่องไฟถ้ายภาพสวยเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึง
    ถนนคนเดินของตลาดอีต่อง มันเล็กจนเดิน 2-3 รอบแบบไม่เหนื่อย จุดให้แวะชมก็มีมาก แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งแต่เหมืองปิล๊อก ช่องมิตรภาพ และเนินเสาธง หรือจะนั่งรถโดยสารไปดูอาทิตย์ขึ้นที่เนินช้างศึก ฐานของ ตชด. ติดชายแดนเมียนมาร์
    คลิกลิงก์ดู https://serithaitour.blogspot.com/2024/11/2-1_25.html

    ที่สุดท้ายที่จะพูดถึงคือ เชียงคาน จ. เลย ต้องบอกว่ามาที่นี่ตั้งแต่ยังไม่ดัง คนน้อย ของกินอร่อย แต่หลังจากดังแล้ว ที่นี่ก็ดีขึ้น พร้อมๆ กับทุกอย่างดูเป็นธุรกิจการค้าไปเกือบหมด แต่ก็ยังพอมีเสน่ห์ให้กลับไป
    เพราะมี ภูทอก ทะเลหมอกยามเช้า ที่ขึ้นไปง่าย แถมไม่ผิิดหวังกับทะเลหมอกที่มากี่ครั้งก็เจอแทบทุกครั้ง
    และ สกายวอล์ก ที่แม้จะร้อนไปบ้างยามเที่ยงวัน แต่วิวสวยดี ควรเลือกไปช่วงเช้าหรือเย็นคงจะพอทน ห่างจากเชียงคานประมาณ 30 นาที
    คลิกลิงก์ดู https://serithaitour.blogspot.com/2024/11/2-1_28.html

    สรุป ยังคงมีหมู่บ้านเล็กๆ ของบ้านเรา รอให้ไปเยือนอีกหลายที่ ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ

28 พฤศจิกายน 2567

เที่ยวเชียงคาน เลย 2 วัน 1 คืน

การไปเชียงคานสมัยนี้ง่ายมาก มีทั้งรถโดยสาร ขับไปเอง หรือจะนั่งเครื่องบินแล้วไปเช่ารถที่สนามบิน ถือว่าสะดวกมาก


ในปัจจุบัน ที่เชียงคาน มีที่เที่ยวเพิ่มขึ้นมาอีกที่คือ สกายวอล์ก ห่างจากเชียงคานประมาณ 30 นาที ถ้ามีรถมาเองก็ง่ายเลย ปักหมุด GPS แล้วขับรถไปตามทางได้เลย ระหว่างทางก็จะมีร้านกาแฟริมโขงให้เลือกเข้าไปนั่งชมวิวและดื่มกาแฟ


ที่ สกายวอล์ก มีค่าบริการ เพียงคนละ ฿30 มีรองเท้าให้ด้วย ควรเลือกไปหน้าหนาว เพราะถ้าไม่ใช่ฤดูกาล กลางวันจะร้อนมากๆ

อีกที่หนึ่งคือต้องไปให้ได้ คือ ภูทอก เป็นจุดชมวิวอาทิตย์ขึ้น และมีทะเลหมอกตลอดเวลา ควรไปแต่เช้า


ผมเคยไปตั้งแต่ต้องขออนุญาตขึ้นไป เดี๋ยวนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน เพราะต้องใช้รถโดยสารขึ้นไปข้างบน


ร้านค้าเยอะมาก เปลี่ยนไปมากๆ และอีกที่ที่ควรแวะ นั่นคือ แก่งคุดคู้ ไม่ไกลจากเชียงคานมากนัก นักท่องเที่ยวสามารถขี่จักรยานไปได้เลย ถ้าไม่กลัวเหนื่อย


แก่งคุดคู้ เป็นโซนร้านอาหารริมโขง สั่งสัมตำ กุ้งทอด มานั่งกินชมวิวริมน้ำ อากาศเย็นสบาย เดินเล่นชมรูปปั้นที่เขาสร้างมาเล่าเรื่องนิทานแก่งคุดคู้ เป็นนิทานพื้นบ้าน น่าสนุกดี


ส่วนการมาพักที่เชียงคาน ก็มีกิจกรรมหลายอย่างเหมือนกัน ตั้งแต่ขี่จักรยานยามเช้า คนไทยพุทธก็ใส่บาตรข้าวเหนียว ตกเย็นก็ดินเล่นชมอาทิตย์ตก และเดินชมถนนคนเดิน


เช้าขี่จักรยานของที่พักได้เลย เดี๋ยวนี้เกือบทุกที่มีบริการฟรี


เย็นก็ถือกล้องมาถ่ายอาทิตย์ตก ฟ้าสีส้มแบบนี้ บอกเลยฟินน์มาก


กลางคืนเดินเล่น เดี๋ยวนี้เชียงคาน คนเยอะมากทั้งเสาร์อาทิตย์และวันธรรมดา ยิ่งเทศกาลแล้ว วางแผนดีๆ ครับ

25 พฤศจิกายน 2567

เที่ยวแม่กำปอง 2 วัน 1 คืน

ทริปนี้ ผมไปมาเมื่อปลายเดือนกันยา 24  ช่วงที่ฝนยังคงตกอยู่ การไปแม่กำปองวันอาทิตย์ แม้เป็นวันหยุด แต่คนก็ไม่เยอะอย่างที่คิด


ผมเลือกที่พักใกล้ถนนที่คนเดินกัน ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขา ถ้าเทียบกับที่เชียงคาน จ.เลย ที่นี่เล็กกว่า หรือจะเทียบกับบ้านอีต่องที่ผมเพิ่งไปมา ก็ถือว่าสูสีกันเรื่องขนาดหมู้บ้าน


ที่แรกที่ผมขับรถขึ้นเขาด้วยเกียร์ 1 แบบไม่คุ้นทาง ยอมรับว่าขับยากทั้งฝนตกพรำๆ และทางลาดชันสูง เลยแวะที่ เทดดูคอฟฟี่ ตามคำแนะนำของพี่น้องที่เชียงใหม่แนะนำมา

เราต้องลงบันไดไปด้านล่างเพื่อเข้าสู้ร้านกาแฟริมธาร พอสั่งกาแฟก็มีน้ำตกขนาดเล็กทางด้านซ้าย

พอดื่มกาแฟเสร็จ ก็เดินขึ้นบันไดไปข้างๆ น้ำตก จะเป็นจุดชมวิวร้าน และมีสะพานแขวนให้เดินกลับไปที่จอดรถ ใครไม่กล้าเดินทางนี้ ก็กลับไปทางเดิมได้


เราเลือกที่พักตามที่รีวิวกัน ได้ห้องนอน 4 คน แบบครอบครัว มีห้องน้ำในตัว ด้านล่างมีที่ทานอาหาร และนั่งเล่น มองลำธารไหลริน

เมื่อตกดึก ประมาณ 4 ทุ่มต้องเข้านอนแล้ว เงียบสนิท แต่ที่ไม่เงียบคือเสียงน้ำมากหลาย ไหลทั้งคืน

เรามาถึงบ่ายๆ เข้าห้องพักแล้วก็มาเดินเล่น มีถนนสายเดียวที่เดินเล่นได้ จะมีร้านค้าไม่กี่ร้าน และร้านอาหารที่เราไปมี 3 ชั้น ขึ้นไปนั่งด้านบน เออ ก็สวยดีวิวหมู่บ้าน การที่ฝนตกแบบนี้ ทำให้มีหมอกฝนจางๆ ตลอด และแฉะๆ ทางเดิน

บ้านไม้ และทุกอย่างของหมู่บ้านเป็นสีไม้ซีดๆ บ้าง เข้มบ้าง ดูน่าหลงใหล เหมือนมาเดินในดินแดนที่ซ่อนเร้น มิน่าเล่า ผู้คนขึงดั้นด้นมาถึงนี้


ผมตื่นแต่เช้า ออกมาเดินเล่นคนเดียว เลยเดินขึ้นไปตามทางขันของถนน ก็มาถึง วัดคันธาพฤกษา เป็นวัดเล็กๆ และมีที่จอดรดด้วย

มองกลับมายังหมู่บ้าน หมอกฝนยามเช้าสวยจริงๆ


ช่วงสายเช็คเอ้าท์แล้ว เพราะนอนแค่คืนเดียวก็คงพอ แต่มาทั้งทีต้องให้ครบ เลยเรียกสองแถวขึ้นไปจุดชมวิวของหมู่บ้าน ค่าโดยสารคนละ 40 แบบไปกลับ บ้านผมมากัน 4 คน ก็เหมือนกับเหมารถเลย แต่เอาเข้าจริงๆ วิ่งขึ้นไปนิดเดียว แล้วรถก็รอจนเราพอใจ


ต้องบอกว่า ถ่าไม่ขึ้นไปเสียดายแย่ เพราะจุดขายของที่นี่คือหมอกที่ลอยละล่องท่ามกลางขุนเขา มองเห็นหลังคาบ้านแบบนี้

ที่นี่ก็มีน้ำตก แต่เราไม่มีเวลามากพอ เลยลงกลับมาที่พัก (ภาพน้ำตกเอามาจากแหล่งอื่นในเน็ต)


จริงๆ แหล่งท่องเที่ยวในย่านนี้ก็ยังมีอีกที่คือ เดอะ ไจแอนท์ ร้านกาแฟบนต้นไม้ใหญ่ วิวเขาสวยๆ แต่ต้องไปอีกเส้นทางหนึ่ง ไม่ไกลนัก


ผมเคยแวะไปเมื่อปี 2018 เก็บภาพไว้หลายรูปเหมือนกัน แวะไปกินข้าวเช้าและดื่มกาแฟ ราคาแรงด้วย


เส้นทางที่ไปร้านกาแฟต้นไม้ ยังมีที่พักเหมือ นที่แม่กำปอง ซึ่งครั้งแรกที่ผมไป ผมนึกว่าที่นั่นคือแม่กำปอง แต่ที่นั่นคือ บ้านแม่ลาย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน ผมแวะไปดูที่พักที่นั่น แต่ไม่ได้พัก เจ้าของใจดีให้ดูสถานที่อย่างเป็นกันเองมาก


ฮิมน้ำโฮมสเตย์ อยู่ติดน้ำแม่ลาย บรรยากาศน่ามาพักไม่แพ้ที่บ้านแม่กำปอง หากใครมาเที่ยวแล้วหาที่พักไม่ได้ ลองแวะมาอีกเส้นทางดูนะครับ อาจถูกใจก็ได้

24 พฤศจิกายน 2567

5 อันดับถนนโค้งเยอะในไทย ที่ระหว่างทางสวยงาม

นักเดินทางที่ขับรถไปทำงานต่างจังหวัด ท่องเที่ยว หรือกลับบ้าน ย่อมต้องใช้ถนนหนทางหลายสาย แต่ถนนที่โค้งเยอะจนมีชื่อเสียงนั้นมีหลายที่ เพราะส่วนใหญ่เป็นทางขึ้นเขา เราค้นหา 5 อันดับที่ถูกกล่าวถึงมาฝากไว้ เผื่อใครยังไม่เคยพิชิต ต้องไปลองสักครั้ง


1. ถนนแม่ฮ่องสอน (เส้นทาง 1095)
จำนวนโค้ง : ประมาณ 1,864 โค้ง
พิกัด : เชื่อมระหว่างอำเภอแม่แตง (เชียงใหม่) ถึงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน
จุดเด่น : เป็นเส้นทางที่ได้รับฉายา “ถนน 1,864 โค้ง” มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม และเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว


2. ถนนขึ้นดอยอินทนนท์
จำนวนโค้ง : หลายร้อยโค้ง
พิกัด : อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
จุดเด่น : เส้นทางขึ้นดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีโค้งและทางลาดชัน เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบการเดินทางชมธรรมชาติ


3. ถนนขึ้นเขาค้อ
จำนวนโค้ง : นับร้อยโค้ง
พิกัด : อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
จุดเด่น : เส้นทางคดเคี้ยวผ่านภูเขา มีจุดชมวิวและบรรยากาศหมอกยามเช้าที่สวยงาม


4. ถนนสาย 1256 (ขึ้นดอยภูคา)
จำนวนโค้ง : มากกว่า 1,000 โค้ง
พิกัด : เชื่อมระหว่างอำเภอปัว จังหวัดน่าน กับดอยภูคา
จุดเด่น : ทิวทัศน์ป่าเขาอันสมบูรณ์และท้าทายสำหรับการขับรถ


5. ถนนสาย 118 (เชียงใหม่–เชียงราย)
จำนวนโค้ง : หลายร้อยโค้ง
พิกัด : เชื่อมระหว่างจังหวัดเชียงใหม่กับจังหวัดเชียงราย
จุดเด่น : เส้นทางนี้มีทั้งโค้งหักศอกและโค้งยาว ท่ามกลางวิวป่าเขา

22 พฤศจิกายน 2567

อุทัย-กาญจน์ 7 วัน 6 คืน (คืนที่ 6) ลุย 399 โค้งสู่บ้านอีต่องสัมผัสลมหนาวอีก 1 คืน

เป้าหมายต่อไปคือ บ้านอีต่อง 

ทางผ่านไปเจอ ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด ลูกชายอยากแวะดู เขาชอบดูพิพิธภัณฑ์


สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลไทย-ออสเตรเลีย เพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง


ชมฟรี มีแผนผังแผนที่เดินชมเส้นทาง พร้อมอุปกรณ์ฟังเสียงบรรยาย


อุปกรณ์เขาให้ยืมฟรีโดยต้องวางบัตรประชาชนไว้ เป็นเหมือนเครื่องรีโมทโดยแถมหูฟังให้ฟรีอีก กดปุ่มตัวเลขก็จะมีเสียงบรรยายให้ บอกเลยว่าดีมากๆ ไม่ต้องมีไกด์อธิบาย เพราะมีหลายภาษาให้เลือก เจ้าหน้าที่เลือกภาษาไทยให้เรา

เขาจะถามก่อนว่าจะเดินแบบ 500 เมตร ไปกลับ 1 ชั่วโมง หรือแบบ 3 ชั่วโมง ผมเลือก 500 เมตรพอครับ กลัวเวลาไม่พอขึ้นเขาไป บ้านอีต่อง


เอาจริงๆ เดินง่ายๆ สบายๆ ครับ ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน มีฝรั่งมากกว่าคนไทย หรือคนไทยเฉยๆ กับเรื่องประวัติศาสตร์ อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน


ต้องบอกว่าเพลินเลยครับ 1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่รู้ตัว


เดินทางกันต่อสู่ บ้านอีต่อง ดู GPS ที่เหมือนงูเลื้อย


ถึงจุดชมวิวแล้ว พักรถก่อน ดูแล้วเหลืออีก 30 นาทีก็ถึงที่หมายแล้ว


ผมจอดรถที่จอดเฮลิคอปเตอร์ ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดรถไปแล้ว


ผมพยายามจองที่พักหลายที่เต็มหมดเลย เพราะจองกระชั้นชิด เพราะไม่คิดว่าวันจันทร์จะมีคนมาเที่ยว เอาจริงๆ คนมาบ้านอีต่องทุกวัน ได้ที่พักที่ ณัตเอ่งต่อง ด้านหลังคือลานจอดรถนั่งเอง

ถามเจ้าของ เขาเล่าว่าชื่อนี้เป็นภาษาพม่า มีพระมาเล่าให้ฟัง เลยเอาชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อที่พัก
     - ณัต แปลว่า เทวดา
     - เอ่ง แปลว่า บ้าน
     - ต่อง แปลว่า ภูเขา

รวมแล้วแปลว่า บ้านบนภูเขาเทวดา เพราะเป็นภูเขาที่มีเมฆหมอกตลอดเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่วันเราไปไม่มีหมอก คงจะหมดฝนแล้ว แต่ลมหนาวมาอย่างเย็นยะเยือก


ผมจองห้อง 04 อยู่ชั้นบน เดินขึ้นอย่างเหนื่อย และข้างบนก็มีดาดฟ้า หน้าห้องมองเห็นภูเขาที่มีเสาสัญญาณ ไม่รู้ว่าคือเสาอะไร มารู้อีกวันหนึ่ง ที่อยู่ตรงหน้าคือ เนินช้างศึก เป็นฐานของ ตชด.


ที่ บ้านอีต่อง ไฟฟ้าของหลวงยังมาไม่ถึง เขาใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงดังเหมือนกัน บางทีไฟก็ดับ หรือน้ำไม่ไหล เพราะต้องใช้เครื่องปั้มน้ำ สัมพันธ์กันไปหมด แต่กลางคืนหนาวเลยโอเค

เรารีบอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมาเดินเล่นก็เย็นจนเกือบมืดแล้ว


บ้านอีต่อง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เดินแป๊บเดียวก็ครบทุกจุดแล้ว เลยมีเวลาให้อยู่ตรงนั้นนานๆ ได้ แต่ผมมาเกือบมืดเลยได้แค่นี้

เริ่มจากป้ายหมู่บ้าน ที่ใครๆ ต้องแวะถ่ายเก็บไว้เป็นจุดเช็คอินแรก ตามด้วย เหมืองปิล๊อก อยู่ฝั่งตรงข้ามเดินต่อเนื่องไป


ตามป้ายก็มีบอกว่าเราอยู่ตรงไหนและกำลังจะไปไหนได้บ้าง


แร่ควอตซ์ เป็นแหล่งกำเนิดดีบุก ที่นี่จึงกลายเป็นชุมชน แต่ปัจจุบันไม่มีการทำเหมืองแล้ว เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังอยู่ติดกับชายแดนไทย-เมียนมาร์


เสน่ห์ของบ้านอีต่อง คงเป็นตอนหัวค่ำ เพราะที่พักริมอ่างน้ำเปิดไฟ พอไปเดินฝั่งตรงข้ามจะเห็นแสงไฟสะท้อนน้ำ สวยงามมาก กล้องมือถือสมัยนี้ก็ถ่ายสวยซะด้วย


อีกบริเวณก็เป็นจุดเช็คอินยอดนิยมของบ้านอีต่องคือบริเวณ สะพานเหมืิองแร่ เป็นที่ทุกคนต้องเดินผ่าน เพื่อมาถือตะเกียงเขียนป้ายไม้ และยืนถ่ายภาพ มีช่างภาพที่นั่น ได้ยินว่าคิดค่าบริการ 7 ภาพ 100 เขาจะมีไฟส่องแยกจากมือถือ หน้าลูกค้าก็จะผ่องขึ้นมา ภาพสวยเลยครับ ลองใช้บริการดู


อากาศวันนั้นหนาวเย็นประมาณ 22 องศา ถือว่าใช้ได้เลยกับการมาที่นี่


เขาพยายามให้คนไปแขวนป้ายไม้อีกฝั่งด้วยนะครับ แต่ถึงอย่างไร ต้องนี้คนก็ชอบมากกว่า เพราะมุมสวย


ผมกับลูกหาข้าวกินและมาจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ชามละ 50 บาท กำลังอิ่ม


เดินเล่นต่อกลางหมู่บ้าน บนถนนเล็กๆ เหมือนกับเชียงคานผสมกับแม่กำปอง เป็นถนนบนเนิน ร้านค้าเปิดทุกวัน คนยังเยอะไม่เท่าเชียงคาน แต่อีกหน่อยไม่แน่ ช่วงเทศกาลปีใหม่ต้องมาดูอีกที


ผมซื้อของกินไปที่พัก กะว่าจะไปนั่งบนดาดฟ้าหลังคาตึก ป้าเจ้าของที่พักชวนให้นั่งกินข้างล่าง แต่ผมบอกอยากสัมผัสอากาศหนาว เอาจริงๆ นั่งได้แป๊บเดียวต้องหนีลงมา เพราะมันหนาวสุดๆ จริงๆ


พอสามทุ่ม ที่นี่เงียบสนิท ผมออกมาเดินเล่นดูหน่อย โอ้โห เงียบสงัดจริงๆ ไม่มีใครออกมาเลยครับ ผมเดินได้นิดเดียวต้องกลับ เพราะท้องดันมาจู๊ด ต้องรีบวิ่งกลับบ้าน ที่แย่คือบ้านอยู่ชั้น 4 อีก ปวดท้องก็ปวด ปวดขาเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างเหนื่อย ขำตัวเอง


เช้าวันอังคารตื่นสายๆ ป้าเจ้าของที่พักโทรมาเรียกให้ลงไปกินข้าวต้มยามเช้าของที่พัก กินฟรีมืื้อเช้า (แต่ข้าวต้มไม่ร้อนเลยครับป้า ไม่กล้าบอก ทำไงดี 555)


ป้าเจ้าของที่พักชื่อ จันทร์แรม ทิพยมณฑล ณัตเอ่งต่องเฮ้าส์ โทร.081-942-3057 ท่านใดสนใจติดต่อได้เลยครับ ที่พักไม่ติดน้ำนะ แต่ติดถนนคนเดินและด้านหลังคือที่จอดรถบนลาน ฮ.


ทีแรกว่าจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ค่าเช่าประมาณวันละ 400 บาท แต่ป้าจันทร์แรมบอกว่า ขับรถมาเองก็ขับรถไปเอง ไม่ต้องเช่าจะเสียเงินเพิ่มทำไมล่ะ ผมก็เห็นด้วย เลยขับไปทุกที่

แต่สำหรับคนไม่ได้เอารถมาเอง แนะนำขึ้นรถกระบะที่ให้บริการนะครับ ไปช่วง ตี 5 ครึ่ง ได้ยินมาว่าเขาคิดค่าบริการคนละ 70 บาท


ผมก็ตั้ง GPS ไปจุดแรกคือ ช่องมิตรภาพ เขาเปิดตั้งแต่เช้า แต่ผมมาเกือบ 9 โมงแล้ว ขับรถขึ้นไปได้เลยครับ ไม่เกิน 4 นาทีจากลาน ฮ. ก็ถึงแล้ว


ช่องมิตรภาพ เป็นช่องทา่งเล็กๆ ต้องจอดรถฝั่งไทย แล้วเดินผ่านช่องทางไป เราไปได้แค่เนินเขาเพื่อเก็บภาพวิว


ขับรถมาต่อที่เนินเสาธง ฝั่งขวาของไทย ฝั่งซ้ายจะมองเห็นฐานของเมียนมาร์ อย่าไปถ่ายภาพเขานะครับ เป็นกฎข้อห้าม ที่ฐานของเมียนมาร์จะมองเห็นไม้ไผ่ที่เขาทำเป็นเครื่องกีดขวางแทนลวดหนาม

บน เนินเสาธง จะมีธงของทั้งสองชาติบนนั้น เดินขึ้นไปบนเนินนิดเดียว อยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ไปต่อ


จุดต่อมาก็คือ เนินเช้างศึก มีหลายคนกังวลว่ารถเก๋งมาได้ไหม ต้องบอกว่า รถที่โหลดเตี้ยไม่ควรมาเด็ดขาด เพราะท้องรถอาจจะครูดกับถนนแน่นอน แต่ถ้ารถกระบะหรือรถเก๋งวิ่งไปได้ ค่อยๆ ไปครับ ยังไงก็ถึงแน่นอน


จอดรถบนลานจอด ฮ.ได้เลย มาตอนสาย ไม่มีเพื่อนเลย ส่วนใหญ่เขาจะมาตอนเช้ากับตอนเย็น เพื่อชมอาทิตย์ขึ้นและตก แต่มเก็บภาพอาทิตย์ขึ้นและตกมาหลายพันภาพแล้ว ขาดที่นี่ไปบ้างคงไม่เป็นไร คิดปลอบใจตัวเอง


เนินช้างศึก เป็นฐานของ ตชด. เดินเข้าไปถ่ายภาพได้ บนเนินมองลงมาทางด้านล่างจะมองเห็นหมู่บ้านอีต่อง


มองไปฝั่งตะวันออก จะมองเห็น เขาช้างเผือก ต้องลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่อุทยาน สามารถไปเดินขึ้นเขาได้ จากบ้านอีต่องไปอีก 8 กม. ผมคงขอบายเพราะสุขภาพคงไม่อำนวยให้ไปถึง


มาต่อที่ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ทางลงเขาเสียวมาก ที่นี่อยู่ในเขตของอุทยานฯ ทองผาภูมิ ค่าเข้าคนละ 40 บาท ค่ารถอีก 30 บาท


เดินเข้าไปไม่ไกล เพลินๆ ใครอยากเล่นน้ำ เตรียมชุดเล่นน้ำ มาล่วงหน้าได้เลย 


ด้านนอกบริเวณที่จอดรถมีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำให้บริการ


ขากลับผมหาข้าวกลางวันกินริมน้ำ ได้ที่นี่ครับ Kawarin Local Kho-Leam วิวสวยมาก เป็นวิวของอ่างเห็บน้ำของเขื่อนเขาแหลม หรีิอเขื่อนวชิราลงกรณ


ที่แวะสุดท้ายอยูากลางเมืองกาญจน์ใน GPS บอกปิด 16.30 น. แต่จริงๆ เขาปิด 18.00 น. เรามาทันเวลาพอดี เลยขอเข้าไปเก็บภาพ รู้จักที่นี่เพราะหนังเรื่องขุนพันธ์ ภาค 3 ที่นี่คืิอ โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี เป็นอาคารเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ยุคพระยาพหลฯ สมัยคณะราษฎร์


จุดเดินของกลุ่มอาคารคือเสาปูนขนาดใหญ่และสูง เคยใช้งานได้จริง เครื่องจักรเก่ายังคงอยู่ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่คนอาจจะไม่รู้จักมากนัก



ผมเก็บภาพอย่างเพลิน มันสวยจนน่ามาถ่ายหนังจริงๆ


ผมกลับบ้านที่กรุงเทพ ขับผ่านอาทิตย์ตกริมทุ่งนาระหว่าง เลยจอดเก็บภาพ มารู้อีกที กระจกหน้ารถโดนก้อนหินจนเป็นรอยร้าว ของฝากจากกาญจน์ทริปนี้มีทุกรูปแบบจริงๆ