เป้าหมายต่อไปคือ บ้านอีต่อง ทางผ่านไปเจอ ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด ลูกชายอยากแวะดู เขาชอบดูพิพิธภัณฑ์
สถานที่แห่งนี้ถูกสร้า่งขึ้นโดยรัฐบาลไทย-ออสเตรเลีย เพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ชมฟรี มีแผนผังแผนที่เดินชมเส้นทาง
อุปกรณ์เขาให้ยืมฟรีโดยต้องวางบัตรประชาชนไว้ เป็นเหมือนเครื่องรีโมทโดยแถมหูฟังให้ฟรีอีก กดปุ่มตัวเลขก็จะมีเสียงบรรยายให้ บอกเลยว่าดีมากๆ ไม่ต้องมีไกด์อธิบาย เพราะมีหลายภาษาให้เลือก เจ้าหน้าที่เลือกภาษาไทยให้เรา
เขาจะถามก่อนว่าจะเดินแบบ 500 เมตร ไปกลับ 1 ชั่วโมง หรือแบบ 3 ชั่วโมง ผมเลือก 500 เมตรพอครับ กลัวเวลาไม่พอขึ้นเขาไปบ้านอีต่อง
เอาจริงๆ เดินง่ายๆ สบายๆ ครับ ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน มีฝรั่งมากกว่าคนไทย หรือคนไทยเฉยๆ กับเรื่องประวัติศาสตร์ อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน
ต้องบอกว่าเพลินเลยครับ 1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่รู้ตัว
เดินทางกันต่อ ดู GPS ที่เหมือนงูเลื้อย
ถึงจุดชมวิวแล้ว พักรถก่อน ดูแล้วเหลืออีก 30 นาทีก็ถึงที่หมายแล้ว
ผมจอดรถที่จอดเฮลิคอปเตอร์ ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดรถไปแล้ว
ผมพยายามจองที่พักหลายที่เต็มหมดเลย เพราะจองกระชั้นชิด เพราะไม่คิดว่าวันจันทร์จะมีคนมาเที่ยว เอาจริงๆ คนมาบ้านอีต่องทุกวัน ได้ที่พักที่ ณัตเอ่งต่อง ด้านหลังคือลานจอดรถนั่งเอง
ถามเจ้าของ เขาเล่าว่าชื่อนี้เป็นภาษาพม่า มีพระมาเล่าให้ฟัง เลยเอาชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อที่พัก
- ณัต แปลว่า เทวดา
- เอ่ง แปลว่า บ้าน
- ต่อง แปลว่า ภูเขา
รวมแล้วแปลว่า บ้านบนภูเขาเทวดา เพราะเป็นภูเขาที่มีเมฆหมอกตอลดเหมือนสวรรค์
ผมจองห้อง 04 อยู่ชั้นบน เดินขึ้นอย่างเหนื่อย และข้างบนก็มีด้านฟ้า หน้าห้องมองเห็นภูเขาที่มีเสาสัญญาณ ไม่รู้ว่าคือเสาอะไร มารู้อีกวันหนึ่ง ที่อยู่ตรงหน้าคือ เนินช้างศึก เป็นฐานของ ตชด.
ที่บ้านอีต่อง ไฟฟ้ายังมาไม่ถึง เขาใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงดังเหมือนกัน บางทีไฟก็ดับ หรือน้ำไม่ไหล เพราะต้องใช้เครื่องปั้มน้ำ สัมพันธ์กันไปหมด แต่กลางคืนหนาวเลยโอเค
เรารีบอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมาเดินเล่นก็เย็นจนเกือบมืดแล้ว
บ้านอีต่อง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เดินแป๊บเดียวก็ครบทุกจุดแล้ว เลยมีเวลาให้อยู่ตรงนั้นนานๆ ได้ แต่ผมมาเกือบมืดเลยได้แค่นี้
เริ่มจากป้ายหมู่บ้าน ที่ใครๆ ต้องแวะถ่ายเก็บไว้เป็นจุดเช็คอินแรก ตามด้วย เหมืองปิล๊อก อยู่ฝั่งตรงข้ามเดินต่อเนื่องไป
ตามป้ายก็มีบอกว่าเราอยู่ตรงไหนและกำลังจะไปไหนได้บ้าง
แร่ควอตซ์ เป็นแหล่งกำเนิดดีบุก ที่นี่จึงกลายเป็นชุมชน แต่ปัจจุบันไม่มีการทำเหมืองแล้ว เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังอยู่ติดกับชายแดนไทย-เมียนมาร์
เสน่ห์ของบ้านอีต่อง คงเป็นตอนหัวค่ำ เพราะที่พักริมอ่างน้ำเปิดไฟ พอไปเดินฝั่งตรงข้ามจะเห็นแสงไฟสะท้อนน้ำ สวยงามมาก กล้องมือถือสมัยนี้ก็ถ่ายสวยซะด้วย
อีกบริเวณก็เป็นจุดเช็คอินยอดนิยมของบ้านอีต่องคือบริเวณ สะพานเหมืิองแร่ เป็นที่ทุกคนต้องเดินผ่าน เพื่อมาถือตะเกียงเขียนป้ายไม้ และยืนถ่ายภาพ มีช่างภาพที่นั่น ได้ยินว่าคิดค่าบริการ 7 ภาพ 100 เขาจะมีไฟส่องแยกจากมือถือ หน้าลูกค้าก็จะผ่องขึ้นมา ภาพสวยเลยครับ ลองใช้บริการดู
อากาศวันนั้นหนาวเย็นประมาณ 22 องศา ถือว่าใช้ได้เลยกับการมาที่นี่
เขาพยายามให้คนไปแขวนป้ายไม้อีกฝั่งด้วยนะครับ แต่ถึงอย่างไร ต้องนี้คนก็ชอบมากกว่า เพราะมุมสวย
ผมกับลูกหาข้าวกินและมาจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ชามละ 50 บาท กำลังอิ่ม
เดินเล่นต่อกลางหมู่บ้าน บนถนนเล็กๆ เหมือนกับเชียงคานผสมกับแม่กำปอง เป็นถนนบนเนิน ร้านค้าเปิดทุกวัน คนยังเยอะไม่เท่าเชียงคาน แต่อีกหน่อยไม่แน่ ช่วงเทศกาลปีใหม่ต้องมาดูอีกที
ผมซื้อของกินไปที่พัก กะว่าจะไปนั่งบนดาดฟ้าหลังคาตึก ป้าเจ้าของที่พักชวนให้นั่งกินข้างล่าง แต่ผมบอกอยากสัมผัสอากาศหนาว เอาจริงๆ นั่งได้แป๊บเดียวต้องหนีลงมา เพราะมันหนาวสุดๆ จริงๆ
พอสามทุ่ม ที่นี่เงียบสนิท ผมออกมาเดินเล่นดูหน่อย โอ้โห เงียบสงัดจริงๆ ไม่มีใครออกมาเลยครับ ผมเดินได้นิดเดียวต้องกลับ เพราะท้องดันมาจู๊ด ต้องรีบวิ่งกลับบ้าน ที่แย่คือบ้านอยู่ชั้น 4 อีก ปวดท้องก็ปวด ปวดขาเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างเหนื่อย
เช้าวันอังคารตื่นสายๆ ป้าเจ้าของที่พักโทรมาเรียกให้ลงไปกินข้าวต้มยามเช้าของที่พัก กินฟรีมืื้อเช้า (แต่ข้าวต้มไม่ร้อนเลยครับป้า ไม่กล้าบอก ทำไงดี 555)
ป้าเจ้าของที่พักชื่อ จันทร์แรม ทิพยมณฑล ณัตเอ่งต่องเฮ้าส์ โทร.081-942-3057 ท่านใดสนใจติดต่อได้เลยครับ ที่พักไม่ติดน้ำนะ แต่ติดถนนคนเดินและด้านหลังคือที่จอดรถบนลาน ฮ.
ทีแรกว่าจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ค่าเช่าประมาณวันละ 400 บาท แต่ป้าจันทร์แรมบอกว่า ขับรถมาเองก็ขับรถไปเอง ไม่ต้องเช่าจะเสียเงินเพิ่มทำไมล่ะ ผมก็เห็นด้วย เลยขับไปทุกที่
แต่สำหรับคนไม่ได้เอารถมาเอง แนะนำขึ้นรถกระบะที่ให้บริการนะครับ ไปช่วง ตี 5 ครึ่ง ได้ยินมาว่าเขาคิดค่าบริการคนละ 70 บาท
ผมก็ตั้ง GPS ไปจุดแรกคือ ช่องมิตรภาพ เขาเปิดตั้งแต่เช้า แต่ผมมาเกือบ 9 โมงแล้ว ขับรถขึ้นไปได้เลยครับ ไม่เกิน 4 นาทีจากลาน ฮ. ก็ถึงแล้ว
ช่องมิตรภาพ เป็นช่องทา่งเล็กๆ ต้องจอดรถฝั่งไทย แล้วเดินผ่านช่องทางไป เราไปได้แค่เนินเขาเพื่อเก็บภาพวิว
ขับรถมาต่อที่เนินเสาธง ฝั่งขวาของไทย ฝั่งซ้ายจะมองเห็นฐานของเมียนมาร์ อย่าไปถ่ายภาพเขานะครับ เป็นกฎข้อห้าม ที่ฐานของเมียนมาร์จะมองเห็นไม้ไผ่ที่เขาทำเป็นเครื่องกีดขวางแทนลวดหนาม
บนเนินเสาธง จะมีธงของทั้งสองชาติบนนั้น เดินขึ้นไปบนเนินนิดเดียว อยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ไปต่อ
จุดต่อมาก็คือ เนินเช้างศึก มีหลายคนกังวลว่ารถเก๋งมาได้ไหม ต้องบอกว่า รถที่โหลดเตี้ยไม่ควรมาเด็ดขาด เพราะท้องรถอาจจะครูดกับถนนแน่นอน แต่ถ้ารถกระบะหรือรถเก๋งวิ่งไปได้ ค่อยๆ ไปครับ ยังไงก็ถึงแน่นอน
จอดรถบนลานจอด ฮ.ได้เลย มาตอนสาย ไม่มีเพื่อนเลย ส่วนใหญ่เขาจะมาตอนเช้ากับตอนเย็น เพื่อชมอาทิตย์ขึ้นและตก แต่มเก็บภาพอาทิตย์ขึ้นและตกมาหลายพันภาพแล้ว ขาดที่นี่ไปบ้างคงไม่เป็นไร คิดปลอบใจตัวเอง
เนินช้างศึก เป็นฐานของ ตชด. เดินเข้าไปถ่ายภาพได้ บนเนินมองลงมาทางด้านล่างจะมองเห็นหมู่บ้านอีต่อง
มองไปฝั่งตะวันออก จะมองเห็น เขาช้างเผือก ต้องลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่อุทยาน สามารถไปเดินขึ้นเขาได้ จากบ้านอีต่องไปอีก 8 กม. ผมคงขอบายเพราะสุขภาพคงไม่อำนวยให้ไปถึง
มาต่อที่ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ทางลงเขาเสียวมาก ที่นี่อยู่ในเขตของอุทยานฯ ทองผาภูมิ ค่าเข้าคนละ 40 บาท ค่ารถอีก 30 บาท
เดินเข้าไปไม่ไกล เพลินๆ ใครอยากเล่นน้ำ เตรียมชุดเล่นน้ำ มาล่วงหน้าได้เลย
ด้านนอกบริเวณที่จอดรถมีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำให้บริการ
ขากลับผมหาข้าวกลางวันกินริมน้ำ ได้ที่นี่ครับ Kawarin Local Kho-Leam วิวสวยมาก เป็นวิวของอ่างเห็บน้ำของเขื่อนเขาแหลม หรีิอเขื่อนวชิราลงกรณ
ที่แวะสุดท้ายอยูากลางเมืองกาญจน์ใน GPS บอกปิด 16.30 น. แต่จริงๆ เขาปิด 18.00 น. เรามาทันเวลาพอดี เลยขอเข้าไปเก็บภาพ รู้จักที่นี่เพราะหนังเรื่องขุนพันธ์ ภาค 3 ที่นี่คืิอ โรงงานกระดาษกาญจนบุรี เป็นอาคารเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ยุคพระยาพหลฯ สมัยคณะราษฎร์
จุดเดินของกลุ่มอาคารคือเสาปูนขนาดใหญ่และสูง เคยใช้งานได้จริง เครื่องจักรเก่ายังคงอยู่ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่คนอาจจะไม่รู้จักมากนัก
ผมเก็บภาพอย่างเพลิน มันสวยจนน่ามาถ่ายหนังจริงๆ
ผมกลับบ้านที่กรุงเทพ ขับผ่านอาทิตย์ตกริมทุ่งนาระหว่าง เลยจอดเก็บภาพ มารู้อีกที กระจกหน้ารถโดนก้อนหินจนเป็นรอยร้าว ของฝากจากกาญจน์ทริปนี้มีทุกรูปแบบจริงๆ